-
เรื่องล่าสุด
ความเห็นล่าสุด
คลังเก็บ
หมวดหมู่
นิยาม
รวมลิงค์อบรม
หน่วยงานในสังกัด สอศ.
จำนวนผู้เข้าชม
- 56,236 ครั้ง
กด like ให้กำลังใจ
บทที่ 1 ความรู้เกี่ยวกับการซื้อขายสินค้า
สินค้า (Goods or Merchandising) หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่มีตัวตน สามารถมองเห็นได้จับต้องหรือสัมผัสได้ เป็นสินทรัพย์ที่กิจการซื้อมาเพื่อจำหน่ายโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการแสวงหาผลกำไรจากการขาย ซึ่งสินทรัพย์ที่กิจการซื้อมาเพื่อจำหน่ายนั้นจะบันทึกไว้ในบัญชีสินค้าจัดอยู่ในประเภทสินทรัพย์หมุนเวียน
ประเภทของสินค้า
การแบ่งประเภทของสินค้าโดยใช้วัตถุประสงค์ในการซื้อไปใช้ของลูกค้าเป็นเกณฑ์สามารถแบ่งออกได้ 2 ประเภ ดังนี
- สินค้าบริโภค เป็นสินค้าที่ผู้ซื้อคือผู้บริโภคคนสุดท้ายซื้อเพือสนองความต้องการของตนเองซึ่งอยู่ในปริมาณที่ไม่มาก แบ่งออกได้ดังนี้ 1.1 สินค้าสะดวกซื้อ เป็นสินค้าที่ผู้บริโภคมีความต้องการซื้อบ่อยครั้ง ราคาไม่สูง
1.2 สินค้าเลือกซื้อหรือสินค้าเปรียบเทียบซื้อ เป็นสินค้าที่ผู้บริโภคต้องเปรียบเทียบคุณสมบัติต่าง ๆ
1.3 สินค้าเจาะจงซื้อ เป็นสินค้าที่มีลักษธเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเน้นตรายี่ห้อ
1.4 สินค้าไม่แสวงซื้อ เป็นสินค้าที่ลูกค้าอาจไม่รู้จักหรือรู้จักแต่ยังไม่ต้องการซื้อและไม่แสวงหาซื้อ
1.5 สินค้าอุตสาหกรรม เป็นสินค้าที่ผู้ซื้อซื้อเพื่อใช้ในกระบวนการผลิตการแปรรูปหรือใช้ในการประกอบธุรกิจผู้ซื้อ
– วัตถุดิบ – วัสดุและชิ้นส่วน – สิ่งติดตั้ง – อุปกรณ์ประกอบ – วัสดุสิ้นเปลือง – บริการ
เงื่อนไขการซื้อขายสินค้า
1.2.1 ส่วนลดการค้า (Trade Discounts)
ในการซื้อขายสินค้าเป็นเงินสดหรือเป็นเงินเชื่อ ราคาสินค้าที่ตกลงซื้อขายกันจะมีการใช้กลยุทธ์ทางการตลาด โดยการให้ส่วนลดปริมาณในการซื้อสินค้าด้วยเงินสดจำนวนมาก เช่น ลดราคาให้ 10% จากการซื้อสินค้า 10,000 บาท และลดให้อีก 5% สำหรับส่วนที่เกิน 10,000 บาท หรือในกรณีซื้อสินค้าเป็นเงินเชื่อ 30,000 บาทขึ้นไปจะให้ส่วนลดการค้า 10%ส่วนลดการค้า (Trade Discounts) หมายถึง ส่วนลดที่ผู้ขายลดราคาสินค้าให้ผู้ซื้อทันทีที่มีการซื้อขายกัน โดยมักจะลดให้ร้อยละหรือเปอร์เซ็นจากยอดขาย เพื่อเป็นการจูงใจให้ลูกค้าซื้อสินค้าครั้งละมากๆ การบันทึกบัญชีผู้ขายจะบันทึกบัญชีขายสินค้าโดยใช้ราคาขายหักด้วยส่วนลดการค้า ส่วนลดการค้าไม่ต้องนำมาบันทึกบัญชี ตัวอย่างเงื่อนไขส่วนลดการค้า เช่น
- ซื้อสินค้าครบทุก 5,000 บาท ได้ส่วนลด 5%
- เติมน้ำมันทุก 1,000 บาท ได้ส่วนลด 3%
- ซื้อสินค้า ชิ้นที่ 1 ชิ้นที่ 2 ลด 50%
- รับประทานอาหารครบ 1,000 บาท ลดให้ 15%
ตัวอย่างที่ 1 ร้านน้องพรขายสินค้าเชื่อให้ร้านนายหวาน 16,000 บาท ส่วนลดการค้า 10% การคำนวณจะเป็นดังนี้
ราคาสินค้า 16,000 บาท
หัก ส่วนลดการค้า 10% (16,000 X 10) 1,600 บาท100
ราคาสินค้าสุทธิคงเหลือ 14,400 บาท
1.2.2 ส่วนลดเงินสด (Cash Discount)
ส่วนลดเงินสด (Cash Discount) หมายถึง ส่วนสดที่เกิดจากการซื้อขายสินค้าเป็นเงินเชื่อ ซึ่งผู้ขายจะมีการกำหนดเงื่อนไขการชำระเงิน (Credit Term หรือ Term of Payment) ไว้ในเอกสารการซื้อขายสินค้า โดยทั่วไปจะอยู่ระหว่าง 30 – 60 วัน และเพื่อเป็นการจูงใจให้ผู้ซื้อชำระเงินค่าสินค้าเร็วขึ้นกว่าที่กำหนดไว้ด้วยการให้ส่วนลด ซึ่งเรียกว่า ส่วนลดเงินสด (Cash Discount) เงื่อนไขการชำระเงินค่าสินค้า (Credit Terms) ที่นิยมใช้กันมีดังนี้
2/10,n/30 หมายความว่า ผู้ซื้อสามารถชำระหนี้ได้ภายใน 30 วัน หากมาชำระภายใน 10 วัน นับจากวันที่ในใบกำกับภาษี จะได้รับส่วนลด 2%
1/15,n/45 หมายความว่า ผู้ซื้อสามารถชำระหนี้ได้ภายใน 45 วัน หากมาชำระภายใน 15 วัน นับจากวันที่ในใบกำกับภาษี จะได้รับส่วนลด 1%
2/10,EOM. (End month) หมายความว่า ให้ผู้ซื้อชำระหนี้ภายในสิ้นเดือนของเดือนถัดไป แต่ถ้าผู้ซื้อชำระหนี้ภายในวันที่ 10 ของเดือนถัดไป จะได้รับส่วนลด 2%
2/10 EOM,n/60 หมายความว่า ให้ผู้ซื้อชำระหนี้ภายใน 60 วันนับจากวันที่ปรากฏในใบกำกับภาษี แต่ถ้าชำระหนี้ภายในวันที่ 10 ของเดือนถัดจากเดือนที่ซื้อสินค้าจะได้ส่วนลด 2%การนับวันครบกำหนดชำระหนี้
วันครบกำหนดชำระหนี้เป็นเงื่อนไขที่ผู้ซื้อและผู้ขายตกลงกันไว้ล่วงหน้า เพื่อประโยชน์ในการวางแผนการบริหารการเงินของกิจการ สำหรับผู้ซื้อสามารถใช้ในการวางแผนการจัดหาเงินมาชำระหนี้ให้ทันเวลาและเพื่อรักษาผลประโยชน์ของกิจการที่จะขอรับส่วนลดเงินสดถ้ามีเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอ ทางด้านผู้ขายจะเป็นประโยชน์ที่สามารถประมาณการเงินสดรับล่วงหน้าในอนาคตได้ และสามารถเตรียมการทวงถามหรือติดตามทวงหนี้ได้อย่างถูกต้อง
การนับวันครบกำหนดชำระหนี้ให้เริ่มนับถัดจากวันที่มีการซื้อขายสินค้าเป็นวันที่ 1 จนครบกำหนดเวลาหรืออาจใช้ขั้นตอนดังนี้คือ
- นำวันสุดท้ายของเดือนที่มีการซื้อขายสินค้าเป็นตัวตั้ง
- นำวันที่มีการซื้อขายสินค้ามาหักออก
- นำวันที่ขาดอยู่ของเดือนมาบวกเข้าไปเรื่อยๆ จนครบกำหนดตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน
ตัวอย่างที่ 2 ขายสินค้าเป็นเงินเชื่อ เมื่อวันที่ 2 ส.ค. 25X6 เงื่อนไขการชำระเงิน 2/20,n/60 การคำนวณวันครบกำหนดจะเป็นดังนี้
จำนวนวันของเดือน ส.ค. 31
หัก จำนวนวันที่ขายสินค้า 2
จำนวนวันคงเหลือ 29
บวก จำนวนวันที่ขาดอยู่ในเดือน ก.ย. 30
บวก จำนวนวันที่ขาดอยู่ในเดือน ก.ย. 30
จำนวนวันที่ขาดอยู่ในเดือน ต.ค. 1
จำนวนวันที่ให้สินเชื่อ 60
การคำนวณส่วนลดเงินสด
การคำนวณส่วนลดเงินสดมีผลต่อการบันทึกบัญชี เนื่องจากกิจการได้บันทึกบัญชีเจ้าหนี้ไปแล้วจำนวนหนึ่ง แต่เมื่อมีการจ่ายชำระหนี้จริงๆ ทำให้จ่ายชำระหนี้น้อยกว่าที่ซื้อ ส่วนลดนี้ผู้ขายจะเรียกว่า “ส่วนลดจ่าย” หรือ “ส่วนลดขาย” เป็นบัญชีประเภทค่าใช้จ่ายของกิจการ ส่วนทางด้านผู้ซื้อเรียกว่า “ส่วนลดรับ” หรือ “ส่วนลดซื้อ” เป็นบัญชีประเภทรายได้ของกิจการ การคำนวณส่วนลดเงินสด กรณีที่กิจการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจะไม่นำภาษีมูลค่าเพิ่มมารวมในการคำนวณส่วนลด จะคืดเฉพาะราคาสินค้าเท่านั้น
ตัวอย่างที่ 3 การคำนวณส่วนลดเงินสด
25X6
มิ.ย. 3 ร้านลูกรักขายสินค้าเป็นเงินเชื่อให้ร้านน่ารักเป็นเงิน 14,000 บาท ส่วนลดการค้า 5% เงื่อนไข 2/20,n/45
5 รับคืนสินค้าชำรุดจากร้านน่ารักจำนวน 1,000 บาท
9 รับชำระหนี้จากร้านน่ารักทั้งสิ้น1. การคำนวณวันครบกำหนดชำระหนี้
จำนวนวันของเดือน มิ.ย. 30
หัก จำนวนวันที่ขายสินค้า 3จำนวนวันคงเหลือ 27
บวก จำนวนวันที่ขาดอยู่ในเดือน ก.ค. 18
จำนวนวันที่ให้สินเชื่อ 45ดังนั้น วันครบกำหนดชำระหนี้ คือ วันที่ 18 ก.ค. 25X6
2. การคำนวณส่วนลดเงินสด
ราคาสินค้า 14,000
หัก ส่วนลดการค้า 5% (14,000 X 5 ) 700
100
คงเหลือ 13,300
หัก รับคืนสินค้า 1,000คงเหลือลูกหนี้ทั้งสิ้น 12,300
หัก ส่วนลดการเงิน 2% (ภายใน 10 วัน) 246
(13,300 – 1,000 = 12,300 X 2 )
100
จำนวนเงินที่ได้รับชำระหนี้ 12,054ดังนั้น วันครบกำหนดชำระหนี้ คือ วันที่ 1 ต.ค. 25X6
โพสท์ใน วิชาบัญชีเบื้องต้น 2
ใส่ความเห็น
บทที่ 4 การวิเคราะห์รายการค้า
รายการค้า (Business Transaction)
รายการค้า หมายถึง การดำเนินงานในทางการค้าที่ทำให้เกิดการโอนเงินหรือสิ่งของมีค่าเป็นเงินระหว่างกิจการค้ากับบุคคล ภายนอก ซึ่งอาจจะแตกต่างกันออกไปตามลักษณะของกิจการค้า
ตัวอย่างรายการค้า
1.นำเงินสดหรือสินทรัพย์มาลงทุน
2.ถอนเงินสดหรือสินค้าไปใช้ส่วนตัว
3.ซื้อสินทรัพย์เป็นเงินสด
4.ซื้อสินทรัพย์เป็นเงินเชื่อ
5.ซื้อสินค้าเป็นเงินสดหรือซื้อสินค้าเป็นเงินเชื่อ
6.ขายสินค้าเป็นเงินสดหรือขายสินค้าเป็นเงินเชื่อ
7.รับรายได้ค่าบริการ
8.จ่ายชำระหนี้
9.รับชำระหนี้
10.จ่ายค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
11.กู้เงินจากบุคคลภายนอก
12.เจ้าของกิจการถอนใช้ส่วนตัว
ตัวอย่างที่ไม่ใช่รายการค้า
1. การจัดแสดงสินค้า
2. การเชิญชวนและต้อนรับลูกค้า
3. การสาธิตสินค้า
4. การเขียนจดหมายโต้ตอบ
5. การสอนถามราคา
หลักในการวิเคราะห์รายการค้า 5 ประการ คือ
1. สินทรัพย์เพิ่ม (+) ส่วนของเจ้าของเพิ่ม(+)
2.สินทรัพย์ลด (-) ส่วนของเจ้าของลด (-)
3. สินทรัพย์อย่างหนึ่งเพิ่ม (+) สินทรัพย์อีกอย่างหนึ่งลด (-)
4. สินทรัพย์เพิ่ม(+) หนี้สินเพิ่ม(+)
5. สินทรัพย์ลด (-) หนี้สินลด (-)
โพสท์ใน วิชาบัญชีเบื้องต้น 1
ใส่ความเห็น